
เทคโนโลยีได้ก้าวเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของโลกการทำงาน ตั้งแต่เกิดการระบาดของโรคโควิดในช่วงสองปีที่ผ่านมา ในชีวิตประจำวันทุกวันนี้ เทคโนโลยีเป็นส่วนสำคัญในการช่วยให้เราติดต่อสื่อสารและสามารถทำงานร่วมกันแม้อยู่คนละที่ ให้เราได้แชร์ไอเดีย เข้าถึงข้อมูลที่มากมาย และทำให้เราได้ทำงานในรูปแบบที่เปลี่ยนไปจากเดิมเช่นกัน
แต่ในขณะเดียวกัน การมีเทคโนโลยีเข้ามาก็อาจจะทำให้เราเริ่มลืมเลือนวิถีชีวิตออฟฟิศแบบเดิม ๆ ไปจึงเป็นอีกเรื่องสำคัญที่ HR จะต้องคิดว่าจะใช้เทคโนโลยีอย่างไร เข้ามาทำให้งานพัฒนา แต่ยังสามารถทำให้คนในองค์กรยังมีปฏิสัมพันธ์กับเพื่อนร่วมงานและมีสภาพแวดล้อมการทำงานที่มีชีวิตชีวาอยู่และนี่คือ 7 เทคโนโลยี ที่กำลังมาแรงในปี 2023 ที่จะถึงนี้ ที่ HR ควรจะต้องศึกษาให้ดีเพื่อนำมาปรับใช้ให้เหมาะสมกับองค์กรของตัวเอง
1. เทคโนโลยีที่ช่วยให้การทำงานแบบ hybrid มีประสิทธิภาพ
ถึงแม้ว่าสถานการณ์โควิดจะเริ่มคลี่คลายแล้ว แต่ก็ส่งผลถึงการทำงาน เพราะหลาย ๆ ที่ก็ปรับการทำงานเป็นแบบ hybrid หรือยังมีนโยบายสลับกันเข้าออฟฟิศอยู่ เพราะฉะนั้นจึงต้องมีเทคโนโลยีที่ช่วยให้การสื่อสารเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพแม้จะทำงานอยู่คนละที่ก็ตาม เทคโนโลยีจะเป็นสื่อกลางที่ทำให้พนักงานมีความเป็นทีมเวิร์ก และยังรู้สึกเชื่อมต่อกันแม้จะไม่ได้เจอหน้ากัน จึงเป็นสาเหตุที่ว่าเทคโนโลยีที่ช่วยการทำงานแบบไฮบริดจะฮอตมากในปี2023 และปีต่อ ๆ ไป
2. AI ช่วยเรื่องข้อมูล
งานวิจัยจาก IBM คาดการณ์ไว้ว่าการนำ AI มาช่วยในด้านการค้าและอุตสาหกรรมจะเพิ่มขึ้นจาก40% เป็น 80% ใน 3 ปีข้างหน้า
ในวงการ HR ก็เช่นกัน AI สามารถช่วยในการวิเคราะห์ข้อมูลและช่วยในการสรรหาคน ยกตัวอย่างเช่น ข้อมูลความเสี่ยงในเรื่องการลาออกของพนักงาน สถิติเทรนด์การลาออกของคนยุคปัจจุบัน ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะช่วยให้ HR ได้ปรับกลยุทธ์และเตรียมพร้อมรับมือกับวิกฤติที่จะเจอได้ดียิ่งขึ้น ยิ่งไปกว่านั้น ในอนาคตอันใกล้ AI จะเข้ามาช่วยในการสรรหาคน อย่างเช่น แชทบอท ที่จะมาช่วยคัดกรองแคนดิเดตเบื้องต้น โดยที่เราไม่ต้องมาคอยดูแลตลอดเวลา และทางฝั่งแคนดิเดตก็จะไม่ต้องมารอ HR ไปตอบคำถามเช่นกัน ซึ่งจะเป็นผลดีกับทั้งสองฝ่าย
3. Well-being ของพนักงาน
ยิ่งพนักงานมีความสุขทั้งกายและใจ ก็จะส่งผลมาเป็นผลลัพธ์ที่ดีมากเท่านั้น ทั้งยังช่วยลดความเครียดในการทำงาน และอัตราการลาออกได้อีกด้วย ฉะนั้นในปี 2023 ที่จะถึงนี้ เทคโนโลยีที่ช่วยให้พนักงานมี Well-being จึงมาแรงเป็นอันดับต้น ๆ เลย
ไม่ว่าจะเป็นการทำ gamification ที่ให้พนักงานมีความสุขกับการเรียนรู้ การให้รางวัลตอบแทน หลังจากทำมิชชั่นหรืองานสำเร็จ การมีสวัสดิการดี ๆ เพื่อเป็นแรงจูงใจ สิ่งเหล่านี้ล้วนช่วยให้พนักงานมี Well-being ที่ดีขึ้นทั้งนั้น
WellExp มองเห็นความสำคัญในเรื่องเหล่านี้ของพนักงาน จึงได้พัฒนาแพลตฟอร์ม เพื่อสร้างความสุขและการเรียนรู้ให้คนในองค์กรไปในเวลาเดียวกัน ด้วยการเรียนรู้แบบ gamification พร้อมทั้งมีรางวัลตอบแทนเป็นพ้อยต์ที่สามารถนำไปแลกสวัสดิการที่ต้องการได้ และมีโอกาสเลือกเอง เพราะแต่ละคนก็มีความสนใจและต้องการที่ต่างกัน เพื่อสร้างความสุขและแรงจูงใจในการทำงาน เราเชื่อว่า เทคโนโลยีอย่าง WellExp สามารถช่วยได้อย่างแน่นอน
4. ระบบและข้อมูลต่าง ๆ ของ HR จะอยู่บน cloud
การใช้ cloud มาเป็นส่วนหนึ่งของระบบ HR จะทำให้พนักงานรู้สึกเชื่อมต่อกันมากขึ้น และยังทำให้การจัดการการทำงานแบบ remote ได้ประสิทธิภาพขึ้นอีกต่างหาก เพราะไม่ว่าอยู่ที่ใดก็จะสามารถเข้าถึงข้อมูลได้อย่างสะดวกและรวดเร็ว
ผลสำรวจจาก PwC 2020 Technology กล่าวไว้ว่า ผู้ใช้ระบบ cloud ให้ความเห็นว่าพวกเขามีความ productive และได้รับประสบการณ์ในการทำงานที่ดี มากกว่าการใช้ on-premise solutions
เรียกได้ว่าการลงทุนกับระบบ cloud จะช่วยพัฒนาให้การจัดการทางด้านต่าง ๆ ของ HR มีความว่องไวมากยิ่งขึ้น เช่น การจัดการเรื่องเงินเดือน สวัสดิการ การดูตารางเวลา การ onboarding การประเมินผล และอื่น ๆ อีกมากมาย
5. เทคโนโลยีที่ช่วยเรื่อง D&I
D&I หรือ Diversity and Inclusion เป็นเรื่องการยอมรับความแตกต่าง และปฏิบัติอย่างเท่าเทียมต่อคนทุกเพศ เชื้อชาติ ศาสนา ความเชื่อ สีผิว และอื่น ๆ
Bernadette Dillon director ของ Deloitte กล่าวว่า พนักงานในองค์กรที่มีความเท่าเทียมและไม่เลือกปฏิบัติมีแนวโน้มจะให้ผลลัพธ์การทำงานที่ออกมาดีกว่าถึง 2 เท่า ดังนั้น D&I คือเรื่องสำคัญที่องค์กรไม่ควรจะต้องมองข้าม จึงเป็นโจทย์ใหญ่อีกอย่างที่ HR ควรจะต้องทำการบ้านว่าจะสามารถดึงเทคโนโลยีใดมาช่วยในเรื่องของความโปร่งใสและความเท่าเทียม
เพราะในองค์กรปัจจุบันนี้มากกว่า 43% มีการใช้เทคโนโลยีที่ช่วยในเรื่องของ D&I มาช่วยในการ recruit และช่วยสแกนแคนดิเดตให้มีความโปร่งใส และเป็นไปอย่างเท่าเทียม และคาดว่าตัวเลขจะเพิ่มขึ้นอีกในปีที่จะถึงอีกด้วย
6. การ recruit คนกำลังจะเปลี่ยนไป
ว่ากันว่าการสรรหาคนตอนนี้ เปรียบเสมือนการทำการตลาด แคนดิเดตจำนวนมากให้ความสนใจกับ employee branding ยิ่งน่าสนใจมากเท่าไหร่ ยิ่งดึงดูดได้มากเท่านั้น
ดังนั้นกระบวนการรับสมัครพนักงานจึงโฟกัสไปที่ “ประสบการณ์” ที่ผู้สมัครจะได้รับ กระบวนการต่าง ๆ จะต้องมีความรวดเร็วและกระชับโดยใช้เทคโนโลยีเข้ามาช่วย ไม่ว่าจะเป็นการใช้ Chatbot เข้ามาช่วยตอบคำถามแบบทันที การสัมภาษณ์ผ่านออนไลน์ที่รวดเร็วและลดค่าใช้จ่าย ทั้งนี้รวมไปถึงการ onboarding ที่สามารถให้พนักงานเข้าสู่ฐานข้อมูลได้อย่างสะดวกและรวดเร็ว
7. การพัฒนา soft skilsl จะมาแรงในปีที่จะถึง
Soft skills ก็คือทักษะในการอยู่ร่วมกับผู้อื่น การติดต่อสื่อสาร และการมีปฏิสัมพันธ์ ว่ากันว่า soft skills ของพนักงานจะแสดงให้เห็นถึงวัฒนธรรมองค์กรของบริษัทนั้น ๆ และในอนาคต AI อาจจะสามารถมาทำหน้าที่แทนมนุษย์ได้ในบางอาชีพ แต่สิ่งที่ AI ไม่สามารถชนะมนุษย์ได้ก็คือทักษะขั้นสูงอย่าง soft skills นั่นเอง
HR จึงต้องวางแผนจัดการให้มีการเทรนนิ่งเกี่ยวกับเรื่องนี้ และเพื่อให้เข้ากับยุคการทำงานแบบ agile การใช้เทคโนโลยีในเรื่องการเทรนนิ่งมาช่วยให้การเรียนรู้และพัฒนาตนมีความรวดเร็ว และประหยัดทั้งเวลาและค่าใช้จ่าย เพื่อให้การเทรนที่ได้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
ในยุคที่เทคโนโลยีมีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา บางเทคโนโลยีอาจจะอยู่กับเรานานถึง 10 ปี ในขณะที่บางอย่างอาจจะอยู่กับเราแค่ช่วงเวลาสั้น ๆ เท่านั้น การเปลี่ยนแปลงเช่นนี้ไม่อาจคาดเดาได้อย่างแม่นยำ แต่ที่แน่ ๆ หากในปี 2023 ที่จะถึงนี้ HR มีการให้ความสนใจกับเทคโนโลยีเรื่องต่าง ๆ แน่นอนว่าย่อมเป็นผลดีต่ออนาคตอีกหลายสิบปีที่จะมาถึงได้อย่างแน่นอน
ข้อมูลบางส่วนจาก : Top 7 Future HR Technology Trends for 2023 - Empxtrack