
ในช่วงสองปีที่ผ่านมาโลกของการทำงานได้เผชิญกับวิกฤติ The Great Resignation wave หรือภาวะแห่กันลาออกของพนักงาน ซึ่งได้รับผลกระทบจากวิกฤติโรคระบาดหรือโควิด19 รวมถึงเทรนด์การทำงานที่เปลี่ยนไป การทำงานแบบ remote มีมากขึ้น ทำให้พนักงานได้มีเวลาอยู่กับตัวเองและคนที่รัก และเมื่อมีนโยบายสั่งให้เข้าออฟฟิศแบบเดิมก็เลยส่งผลให้พนักงานตัดสินใจลาออกกันได้ง่าย และยังมีปัจจัยต่าง ๆ มากมาย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องสวัสดิการ ความยืดหยุ่นทางการทำงาน ความเห็นอกเห็นใจต่อพนักงาน และกระแสโลกอย่างเรื่องของ DEI
ถ้า The Great Resignation wave หมายถึงการแห่กันลาออกครั้งใหญ่ The Great Rehire ก็คงเป็นอีกมัลติเวิร์สหนึ่ง เพราะหมายถึงการที่บริษัทต่าง ๆ ต้องการจ้างงานจำนวนมาก แต่ไม่สามารถหาคนที่ตรงใจได้สักที ทำให้ HR รวมถึงเหล่า head hunter ต้องรีบขุดทุกกลยุทธ์และความสามารถที่มีมาใช้กันอย่างเต็มที่เพื่อดึงดูดคนให้เข้ามาร่วมงานกับองค์กร
The Great Rehire ครั้งนี้บริษัทต้องปรับตัวเองให้ตอบโจทย์กับ talents!
เมื่อเทรนด์ในการทำงานเปลี่ยนไป แต่บริษัทยังไม่ยอมปรับตัวให้เข้ากับโลก ทำให้บางตำแหน่งเปิดเป็นปีก็คงไม่สามารถหาคนมาทำได้แน่ ๆ ดังนั้นเพื่อที่จะตอบโจทย์talents ได้ องค์กรจะต้องเรียนรู้ความต้องการเหล่านี้เอาไว้ และปรับใช้ให้ได้!
ต้องส่งเสริมนโยบาย DEI (diversity,equality,and inclusion)
DEI หรือถ้าจะให้เข้าใจง่าย ๆ ก็คือการยอมรับความหลากหลายของทุกคนด้วยใจยินดี ไม่ว่าจะเป็นศาสนา ความเชื่อ เพศ เชื้อชาติ สีผิว การศึกษา ฐานะ การยอมรับความหลากหลายเป็นสิ่งที่องค์กรจะต้องแสดงให้เห็นตั้งแต่กระบวนการสัมภาษณ์ ไม่แบ่งแยก ไม่เลือกปฏิบัติ ไม่ถามคำถามที่อ่อนไหวและก่อให้เกิดความไม่สบายใจต่อแคนดิเดต ถึงจะดูเป็นเรื่องเล็กน้อย แต่การยอมรับความแตกต่างและปฏิบัติอย่างเท่าเทียมก็ถือเป็นเรื่องสำคัญและจะสร้างความประทับใจให้แคนดิเดต สำคัญที่สุดเลยคือการยอมรับความแตกต่างสามารถสะท้อนวัฒนธรรมองค์กรได้อย่างดี
เงินไม่ใช่ทุกอย่างอีกต่อไป เพราะ Work-life balance คือสิ่งที่แคนดิเดตให้ความสำคัญ
เงินไม่ใช่ปัจจัยหลักที่จะทำให้แคนดิเดตตัดสินใจร่วมงานกับองค์กร ถ้าหากว่าได้ค่าจ้างเป็นจำนวนมาก แต่ต้องทำงานแบบถวายชีวิต จนไม่มีเวลาพักผ่อน สิ่งนี้ก็อาจทำให้แคนดิเดตตัดสินใจไม่ร่วมงานกับองค์กร เพราะฉะนั้นอย่าลืมว่า Work-life balance เป็นเรื่องสำคัญไม่แพ้เรื่องอื่น ๆ
ความยืดหยุ่นในการทำงาน
ปัจจุบันนี้การตัดสินใจเลือกทำงาน มีเรื่องremote work เข้ามาเกี่ยวข้องด้วยเป็นส่วนใหญ่ เพราะความคุ้นชินกับการที่ต้อง work from home มาเป็นเวลานาน บวกกับเรื่องการเดินทาง เวลาที่ใช้ไปบนท้องถนน รวมถึงภาระอื่น ๆ ที่ต้องรับผิดชอบ ทำให้หากบริษัทไหนมีการทำงานที่ยืดหยุ่น สามารถเลือกเข้าออฟฟิศหรือเลือกทำงานที่ไหนก็ได้ อาจจะได้รับการพิจารณาจากแคนดิเดตเป็นพิเศษ
คนทำงานก็ต้องการเห็นอนาคต
ในการทำงานคงไม่มีใครอยากอยู่กับที่ไปตลอด การทำให้ผู้สมัครเห็นถึง Career path ของตัวเองจะช่วยให้ดึงดูดคนได้มากขึ้น จากผลสำรวจพบว่ากว่า 33% รู้สึกว่าการมองเห็นอนาคตในการทำงานที่ชัดเจนจะเป็นตัวกระตุ้นให้เลือกไปต่อกับบริษัทนั้น ๆ เพราะฉะนั้นแล้วบริษัทจะต้องเปิดโอกาสให้พนักงานได้มีการเรียนรู้และพัฒนาอยู่ตลอดรวมถึงความก้าวหน้าในอาชีพ สิ่งเหล่านี้จะทำให้พวกเขาไม่รู้สึกว่าอยู่กับที่และพร้อมจะเดินไปข้างหน้ากับองค์กร
เมื่อรู้ถึงความต้องการของเหล่าtalents แล้ว หลังจากนี้ก็เป็นหน้าที่ขององค์กรและทีม HR ที่จะต้องมาปรับกลยุทธ์และหาเครื่องมือใหม่ ๆ มาจัดการดูแลตรงนี้
WellExp ผู้ช่วย HR ที่พร้อมช่วยแก้ปัญหาให้กับองค์กร กับฟังก์ชันหลากหลายที่ตอบโจทย์พนักงาน เพราะมีฟังก์ชันเพื่อการเรียนรู้และพัฒนาตนเอง ทำให้พนักงานจะรู้สึกได้พัฒนาตัวเองอยู่เสมอ ๆ ที่สำคัญทุกการเรียนรู้จะได้รางวัลตอบแทนเป็นเวลพ้อยท์ ที่นำไปแลกเป็นสวัสดิการได้อีกมากมาย ตอบโจทย์ตามไลฟ์สไตล์ของตัวเอง สวัสดิการที่ดีย่อมดึงดูดคนมีความสามารถให้มาร่วมงานกับองค์กรได้แน่นอน วิกฤติ the great rehire ครั้งนี้ให้ WellExp ได้ก้าวผ่านไปด้วยกันกับองค์กรของคุณ
ข้อมูลจาก : https://www.lever.co/blog/the-great-rehire-and-candidate-expectations-in-2022/